หนึ่งในร้านอาหารที่มาแรงมากๆ ช่วงนี้เข้าชิงรางวัลต่างๆ มากมายคงหนีไม่พ้น Sühring ร้านอาหารประเภท Fine Dining สัญชาติเยอรมัน สไตล์โมเดิร์น โดยเชฟพี่น้องฝาแฝดชาวเยอรมัน Mathias Sühring และ Thomas Sühring
Sühring นับเป็นอีกร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ภายในเวลาราวๆ 4 ปีตอนนี้กลายเป็นร้านสุดฮอตการันตีด้วยมิชลินสตาร์ 2 ดาว ได้รับอันดับที่ 4 ใน Asia’s 50 Best Restaurants ปี 2019 และล่าสุดไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 45 ของโลกใน World’s 50 Best Restaurants ปี 2019 นี้
ร้านซูริงห์ เป็นบ้านเก่าที่นำมา Renovate ใหม่ในบรรยากาศการดินเนอร์แบบสบายๆ เลือกได้ว่าอยากนั่งดูเชฟทำอาหารในโซน Kitchen หรือว่าถ้าชอบความสงบก็แนะนำเป็นโซน Living Room ที่จะเป็นส่วนตัวกว่า
Pricing & Reservation (As of June 2019)
LUNCH
Saturday, Sunday & selected public holidays : Menu 3800/4800
DINNER
Monday to Thursday : Menu 4800 or à la carte
Friday to Sunday & selected Public Holidays : Menu 4800
ส่วนใหญ่แล้วร้านอาหารประเภท Fine Dining จะต้องทำการจองก่อน วิธีการก็ไม่ยากเลยค่ะให้เข้าไปที่ลิ้งค์นี้ https://suhring.dinesuperb.com/reserve/experience เค้าจะมีให้เลือกวัน เวลา โซนที่อยากจะนั่ง จำนวนคน เราก็กรอกหลายระเอียดลงไป แล้วทางร้านจะอีเมลคอนเฟิร์มที่นั่งกลับมาให้เราค่ะ
Food Concept
อาหารทั้งหมดมี 14 คอร์สโดยคอนเซ็ปท์ของคอร์สจะแบ่งแยกออกมาเป็น 3 ส่วนค่ะ
๐ Chapter 1 จะเป็น amuse bouche และ Appertizer
๐ Chapter 2 จะเป็น Main course
๐ Chapter 3 จะเป็น Dessert
นอกจากอาหารในคอร์สแล้ว ทางร้านจะมี Classics to add on your menu คือเมนูที่สั่งเพิ่มเติมได้ไม่รวมอยู่ในคอร์สค่ะ จะมีอยู่ด้วยกันสามอย่าง (เราสั่งด้วยอย่างนึง ดูข้างล่างได้เลย) รวมถึงในคอร์สเองบางเมนูเราสามารถ add on วัตถุดิบหรือเปลี่ยนได้เหมือนกัน ไปดูกันดีกว่าว่ามื้อนี้มีอะไรกันบ้าง
เริ่มแรกเลยสำหรับเครื่องดื่มทางร้านมี Wine Pairing ด้วยราคา 3,000 บาทแต่เราสั่งเป็นแก้วๆ ค่ะเลือก White Wine ราคาแก้วละ 490 บาท ตัวนี้รสชาติจะออกไปทาง Dry ดื่มได้เรื่อยๆ แต่ถ้าใครชอบแบบแนวดื่มด่ำแนะนำเป็นไวน์แดงค่ะ ส่วนน้ำเปล่าแบบ Still Water ของที่นี่จะเป็น Evian ราคาขวดละ 190 บาทค่ะ
Chapter One
เริ่มกันที่จานซิกเนเจอร์ Pretzel & Obatzda จานนี้ถือเป็นอีกเมนูดังของร้านเลยค่ะ เราประทับใจพรีเซนท์เทชั่นมากเลยเพราะแสดงถึงความเป็นเยอรมันได้ดี อย่างเจ้าแก้วเบียร์จิ๋วนี้จริงๆ ไม่ใช่เบียร์นะแต่ทำออกมาได้เหมือนมาก เป็นอารมณ์น้ำไซเดอร์หวานๆ ค่ะ กินคู่กับเพรสเซิลที่เนื้อขนมปังจะหนึบๆ ด้านนอก แต่ข้างในนุ่ม จิ้มกับ Obatzda คือเนยผสมครีมชีสด้านหลังค่ะ
ถ้าไม่บอกจะรู้ไหมว่านี่คือ Chicken Salad เชฟดัดแปลงสลัดจานโตๆ โดยทำคอมบิเนชั่นใหม่ให้กลายเป็น amuse bouche คำเล็กๆ รวมรสชาติของสลัดเอาไว้ในคำเดียว น่าสนใจทีเดียวค่ะ
ตัวต่อมารสชาติเริ่มเข้มข้นขึ้น เป็น Herring & Whole grain ตัวนี้เป็นปลาแฮริ่งที่บ่มมา 10 วัน ห่อด้วยบัตเตอร์มิลค์ ส่วนด้านล่างเป็นแครกเกอร์ที่ทำจากโฮลเกรนกรอบๆ ค่ะ ตัวนี้มี texture ที่ดีมาก เราจะได้ความกรอบก่อน ตามด้วยความละมุนและนุ่มจากด้านบน
Beef & Shrimp เราชอบตัวนี้มากๆ เลยค่ะ เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังทำออกมาได้น่ารักมากๆ เมนูนี้คือ Beef Tartar เนื้อดีมาก เนียนนุ่มและไม่คาวเลย วางอยู่บน Potato net ที่ให้ความกรอบ ท้อปปิ้งด้วยกุ้งแห้ง เป็นเมนูที่ถ้าสั่งเพิ่มได้ก็อยากจะสั่งอีกเลยนะเนี่ย อร่อยมากกก
ตัวนี้เฟย์ยกให้เป็นไฮไลท์ของ Chapter One เลยค่ะ Enleta คือแครกเกอร์ตับเป็ด ดูวิธีการเสิร์ฟเค้าสิ รับรองว่าทุกคนจะต้องสนุกไปกับเมนูนี้ค่ะ เพราะว่าทำมาในแพ็คเกจแบบเหมือนซื้อขนมกินเลย แต่พอเปิดถุงมาก็จะเจอกับแครกเกอร์ตับเป็ดที่ทำเอง รสชาติกลมกล่อมมาก พิเศษกว่านั้นคือตัวนี้จะมี Vinegar มาแพริ่งด้วย ซึ่งนำเข้ามาจากเยอรมันเลยค่ะ รสชาติเปรี้ยวๆ ของน้ำส้มสายชู ช่วยชูรสชาติของแครกเกอร์ได้ดี แนะนำว่าให้กินไปจิบไป สลับๆกัน บอกเลยว่าดีงามมม ตัวนี้ให้ 10 เต็มเลยค่ะ
Chapter Two
เริ่มเข้าสู้โหมดอาหารจานหลักกันค่ะ Aal grin ตัวนี้เป็นปลาไหลรมควันเสิร์ฟคู่กับแตงกวา โดยแตงกวาจะมาในหลายสไตล์ทั้งซุปทั้งซอส ทั้งเจล จานนี้ถ้าเป็นแบบ Traditional จะเสิร์ฟร้อนค่ะ แต่เชฟเสิร์ฟแบบเย็น ทำให้ได้ความสดชื่น ปลาไหลก็ไม่คาวเลยค่ะ ให้ความรู้สึกที่กินแล้วสบายๆ เหมือนเตรียมท้องก่อนจะกินจริง
อึกหนึ่งคอร์สที่น่าสนใจถักมา Brotzeit หรือถ้าแปลตรงตัวคือ Bread Time ค่ะ ปกติแล้วคอร์สขนมปังของที่อื่นจะเป็นแค่ขนมปังกับเนยเฉยๆ แต่ของที่ซูริงห์จะใช้เป็นขนมปัง Sourdough ทำเองสดๆ นุ่มมากกก ทางร้านบอกว่าเคล็ดลับความนุ่มคือใช้หัวเชื้อขนมปังที่หมักมาตลอด 4 ปี!! กินคู่กับผักดองและ Cold cut สำหรับวันนี้เราว่าพิเศษกว่าปกติ เพราะเราได้เป็น Smoked trout ส่วน condiment อื่นๆ ก็จะมี horse radish cured กับผักดองอื่นๆเช่น Prikkle, Onion แล้วก็เนยที่ทำจากไขมันหมูค่ะ
Leipziger Allerlei ให้ความรู้สึกเหมือนสวนในท้องทะเลค่ะ ตัวนี้พระเอกคือ Crayfish เชฟทำออกมาได้ดี เนื้อนุ่ม เสิร์ฟคู่กับผักต่างๆ เช่นหน่อไม้ฝรั่ง ราดด้วยซอสเห็ด ทางร้านเล่าว่าสมัยก่อนเป็นอาหารข้างทางของชาวบ้านเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้มีความแพร่หลายมากขึ้นแล้ว
อีกหนึ่งไฮไลท์ของแชฟเตอร์นี้ Sturgeon – cooked on cedar จานนี้เราประทับใจเนื้อปลามากเลย เนื้อปลาแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง เป็นปลาสเตอร์เจี้ยนที่ฟาร์มที่หัวหิน ส่วนตัวเราเคยมีโอกาสไปดูงานที่ฟาร์มนี้มาแล้วเห็นถึงระบบต่างๆ มั่นใจได้เลยว่าเป็นเกรดคุณภาพเลยค่ะ ส่วนซอสโฟมที่เห็นคือครีมซอสที่ออกรสเปรี้ยว (คิดว่าเปรี้ยวโดดไปนิด)
จานนี้เราสั่ง Add on – Caviar เพิ่มราคาอยู่ที่ 400 บาทค่ะ คิดว่าเพิ่มแล้วดีนะ ทำให้รสกลมกล่อมขึ้นค่ะ
อีกตัวที่เริ่มสั่งเพิ่มจากในคอร์สคือ Spatzle & Black Truffle จริงๆ แล้วทางร้านจะมี Add on Menu ให้เลือกด้วยกัน 3 เมนู ซึ่งอันนี้แล้วแต่เรานะคะ ว่าจะสั่งเพิ่มหรือไม่สั่งก็ได้ แต่เราสั่งเพิ่มเป็นตัวนี้ Spatzle คือพาสต้าเส้นสดทำมือ เป็นตัวที่ทำยาก ดีใจมากที่สั่งเพราะมันดีงามมากกก ซอสเห็ดกลมกล่อม เพิ่มความหอมด้วยทรัฟเฟิลที่เค้าจะมาสไลด์ใส่กันสดๆ ตรงหน้าเลยค่ะ อ่อจานนี้ Add on เพิ่มในราคา 750 บาทนะคะ
จาน Main จานสุดท้านคือ Wagyu Beef Sirloin / Asparagus /ramson เริ่มแรกเค้าจะมีเซ็ทมีดมาให้เลือกก่อนว่าเราชอบอันไหน ความคมเหมือนกันนะเราถามมาแล้ว ฮ่าาา แค่ว่ามีลวดลายที่ต่างกันก็เลือกตามชอบได้เลยค่ะ ส่วนสเต็กเป็นออสเตรเลียนวากิว (ตัวนี้สามารถอัพเกรดเป็น Japanese Wagyu ไดเแต่จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ ) เนื้อส่วนสันนอกแบบ Medium rare นุ่มๆ เสิร์ฟคู่กับหน่อไม้ฝรั่งและซอส Ramson หรือเรียกอีกอย่างว่า Whip butter sauce จานนี้ก็ดีตามมาตราฐานของร้านเลยค่ะ
Chapter Three
และแล้วก็ดำเนินมาถึงคอร์สของหวานกันบ้างค่ะ จานแรก Green apple & Celery ตัวนี้เป็น Savoury dessert ล้างรสชาติของคาวที่เรากินไปค่ะ ที่ว่าเป็น Savoury เพราะวัตถุดิบเป็นพวกเซอรารี่ แตงกวา กับไอศครีมที่เป็นผักต่างๆ infuse มา กินแล้วให้ความสดชื่น ไม่ได้เป็นแนวหวานๆนะคะ
ต่อกันด้วย Strawberry / rhubarb / honey คอร์สนี้จะมาด้วยกัน 3 อย่างเลยเริ่มที่จานหลักเป็นสตอร์วเบอร์รี่กับครัมเบิ้ลรสชาติไปทางด้านเปรี้ยว กินคู่กับถ้วยด้านหลังเป็นซอสครีมที่เสิร์ฟแบบเอสพูม่ากับสตรอว์เบอรี่ที่เอามาทำเป็นแผ่นบางกรอบด้านล่างเป็นรูบาร์บ แพริ่งกับ Honey Wine ส่วนตัวคอร์สนี้เราคิดว่าดีแต่ไม่ว้าวเท่าคอร์สของคาวค่ะ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด Omas Eierlikör ขนมชิ้นเล็กๆ นั้นคือวานิลลาครีมอร่อยมากกก เสิร์ฟคู่กับเอ็กน็อกซึ่งฉบับ Grandma’s recipe eggnog เป็นสูตรเก่าแก่ของคุณย่า เค้าจะมีเล่มเมนูที่เป็น cookbook มาให้ดูด้วยค่ะ น่ารักดี เราอ่านคร่าวๆเห็นว่าแอลกอฮอล์ที่ใช้สำหรับตัวนี้เป็นวอดก้า อร่อนมากค่ะ
แน่นอนว่าต้องปิดท้ายด้วย Petit four กล่องของที่นี่ยิ่งใหญ่ อลังการมากก มาเป็นตู้เลยค่ะ เปิดออกมาเป็นชั้นๆ เค้าจะให้เราเลือกว่าจะเอาอะไร เราเลือกลองอย่างละชิ้นค่ะ Salted caramel ตัวขวาล่างอร่อยสุด
พอถึงตรงนี้เราสั่ง Camomile Tea มาดื่มด้วยเค้าจะมาเป็นกาเลยเยอะอยู่ถ้ามาสองท่าแนะนำว่าสั่งมาแบ่งกันก็ได้ เพราะว่าเฟย์สั่งแยกก็ดื่มไม่หมดเสียดายค่ะ ชาราคาที่กาละ 180 บาทค่ะ
โดยสรุปแล้วเฟย์ชอบมื้อนี้มากทีเดียวค่ะ เมนูอาหารมีความน่าสนใจ รสชาติแปลกใหม่ ราคาก็ถือว่าโอเคนะ เทียบกับคุณภาพและประสบการณ์สำหรับเราถือว่ารับได้ค่ะ การบริการพนักงานทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีอยู่ช่วงนึงที่มีความคลุกคลักบ้างแต่ทางร้านก็จัดการปัญหาได้ดี แม้ว่าเราจะไปช้าก็รถติดที่กรุงเทพอะนะ… แต่พอโทรไปแจ้งว่าจะถึงช้า เลยรู้ว่าทางร้านจะจองที่นั่งให้เราอย่างน้อย 30 นาทีอยู่แล้วค่ะ ก็เลยสบายใจได้เลย ใครที่ชอบแนวนี้ก็อย่าพลาดมาลองกันได้นะคะ รายละเอียดการจองทุกอย่างใส่ไว้ให้หมดแล้วค่าา
—————————-
Sühring
https://www.facebook.com/suhringtwins/
เย็นอากาศ 3 แขวงช่องนนทรีย์ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
เปิด 05:30 pm – 09:30 pm สุดสัปดาห์มีช่วงกลางวัน 11:30 pm – 12:30 pm www.restaurantsuhring.com
โทร : 02-287-1799
มีที่จอดรถหน้าร้าน